อยากแข็งแรง ห่างไกลมะเร็ง เบาหวาน ไต ตับ ต้องอ่าน

ต้องอ่านนะครับ ของดี ถ้ายังรักตัวเอง

        โดย อาจารย์ ไกร มาศพิมล                   (นักโภชนาการบำบัด)
http://youtu.be/TkreU-jK-EU

ความดัน     บน     ล่าง
อายุ <30    110    70
อายุ 50      130    85
อายุ 60      140    90

จิบน้ำร้อน บ่อยๆ ช่วยปรับสมดุลย์ ความดันเลือด, ลดเส้นเลือดสมองตีบ, เบาหวาน, ต้อที่ตา, ไต

จิบน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ หรือ 250 CC ก่อนอาหาร ลดความอ้วน

การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ

เบาหวาน กิน น้ำตาลธรรมชาติได้ น้ำตาลฟรุตโตส, น้ำตาลปี๊ป (น้ำตาลปึก), โอวทึ้ง, น้ำผึ้ง  
หยุด   น้ำตาลกรวด, น้ำตาลทรายแดง, น้ำตาลทราย, ซูโครส

น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด
จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์
สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง

ทุเรียน
มี Anti - Oxidant, กำมะถัน (งด ข้าว) ช่วยลดมะเร็ง, ลดคลอเรสเตอรอล, ลดอ้วน, ลดไขมัน, ต้านแก่

น้ำแตงโม = ไวอาก้า ธรรมชาติ บำรุงเลือด, ละลายลิ่มเลือด ช่วยมือเท้าชา

แกนสับปะรด
มีสารบอบิเรน ลดมะเร็งปากมดลูก โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง 

กล้วยไข่
หยุดผมร่วง, ป้องกันอัลไซเมอร์, บำรุงสมอง, บำรุงตับ ไต, ป้องกันมะเร็ง, บำรุงกระดูก, บำรุงสายตา, รักษา Office Syndrome

กล้วยน้ำว้า
วันละ 2 ลูก เหมือนๆ กล้วยหักมุก ปิ้งไฟทั้งเปลือก ลดไข้, ลดเจ็บคอ, บำรุงตับอ่อน, รักษาเบาหวาน, แก้ทอนซิลอักเสบ

กล้วยหอม
(กล้วยเล็บมือนาง) 3 ผล / สัปดาห์ เป็น ฮอร์โมนหญิง มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และ อัลไซเมอร์, บำรุงสมอง, ป้องกันสมาธิสั้น

น้ำมะพร้าวอ่อน
ปรับสมดุลย์ ฮอร์โมน
ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต  ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ

กะทิ
ลด Cholesterol, ไม่อ้วน, ไม่เบาหวาน,

น้ำมันมะพร้าว
ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหารเช้า 4 ช้อนกาแฟ
ใช้เป็น Hair Serum ลงหนังหัว, ลดหงอก, เพิ่มผม ใช้ล้างเครื่องสำอาง ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้
มี SPF 90 (Sun block)  

Oil Pulling 
ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น  ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง  จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก  

หยุด น้ำมันพืช
เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมี เมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ควรบริโภคมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่ 
ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol โดยที่ Cholesterol LDL จะช่วยป้องกันผิวหนัง และผลิต Cholesterol HDL เพื่อดักจับ LDL ไปทิ้ง   

การทำน้ำมันหมู
นำน้ำมันหมูเปลว 1 ก.ก. กับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เจียวบนกระทะ จะทำให้ไม่ติดกระทะ ไม่กระเด็น ได้น้ำมันเกือบ 2 ลิตร กากหมูจะกรอบมาก เนื่องจากเกลือจะเป็นตัวช่วยดึงน้ำมันออกมาจนหมด

น้ำมันมะพร้าว
นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน  

การสระผม
ควรสระผมด้วยสบู่เด็ก ควรสระผมช่วงเช้า ไม่ควรสระผมตอนเย็น เพราะผมจะไม่สามารถแห้งได้ทัน เวลานอนจะเกิดเชื้อรากลางคืน เป็นเหตุของอาการคันศีรษะ  และ ลงน้ำมันมะพร้าวที่หนังหัว

เกลือ
การบริโภคเกลือ(เกลือทะเล เกลือเม็ด) ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ    

ไมโครเวฟ
การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำให้ตายได้
 
ตะไคร้แกง
นำมาหั่นแล้วต้มเป็นน้ำตะไคร้ ดื่มเพื่อช่วยลดเบาหวาน   

กาแฟ
มีคาเฟอีน มีไว้ดม ไม่ควรกิน เพราะจะมีผลยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรค กระดูกผุ กระตุ้นเซลมะเร็ง

ไข่
ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง  จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม 
งานวิจัยของฮาวาร์ด พบว่าหากบริโภคไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี) ; บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี – 50 ปี) และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี) 
ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง        

การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายทุกวัน ออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น 
1. การขยับนิ้วมือ เป็นการช่วยเรื่องน้ำในข้อ ผลที่ได้กระดูกจะไม่ผุ
2. งอนิ้วมือ ช่วยในเรื่องของอาการนิ้วล็อค 
3. กำมือและแบมือสลับข้างกันไปมา ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ  และลด Cholesterol 
4. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ และขยับเท้ายกขึ้นทำท่าวิ่งบนอากาศ 
5. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ ทุบขาด้านนอก และด้านใน ทุบแขน สลับกันไป 
6. การนั่งตรง ๆ นั่งแค่ครึ่งเก้าอี้ ประมาณ 10 นาที ช่วยป้องกันในเรื่องของ
ริดสีดวงทวาร 
7. กำมือขวาหมุนเป็นวงกลมออกนอกตัว และกำมือซ้ายหมุนเป็นวงกลมเข้าหาตัว 
เป็นการบริหารสมองทั้ง 2 ซีก 
8. มือประสานกันสองข้าง ยืดตรงไปข้างหน้า เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล  มองตรง แล้วหมุนเอวไปรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย และขวา ครั้งละ 5 รอบ ทำตอนเช้า  จะช่วยลดส่วนเกินตรงหน้าท้อง(Moon attracted)

                 ของฝากจาก
          ดร.วิชัย เกียรติสามิภักดิ์

❤ กรุณาส่งต่อเพื่อนๆที่เรารักด้วย-ขอบคุณ❤
#เรื่องสุขภาพสำคัญ
#ชีวิตต้องมีวันพรุ่งนี้
#เรื่องดีๆเลยต้องบอกต่อ

แสงสีฟ้า อันตรายจริงหรือ?

แสงสีฟ้า อันตรายจริงหรือ?

หากไม่อยากสูญเสียความสามารถในการมองเห็นก่อนวัยอันควร ก็อยากจะนำเรียนทุกท่านให้เห็นความอันตรายของเเสงสีฟ้า หากไม่เชื่อโปรดเข้ามาอ่านในนี้
สวัสดีเพื่อนๆชาว Pepper ทุกคน กลับมาพบกันเป็นประจำทุกวันเช่นเคยกับเรื่องราวสาระดีๆ สำหรับวันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาเติมความรู้เรื่องสุขภาพกันหน่อย เพื่อนๆทราบมั้ยครับว่าในชีวิตประจำวันของเราในแต่ละวันนั้นดวงตาของเราได้รับความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพเพิ่มมากขึ้นโดยที่หลายคนไม่เคยได้รู้ตัวมาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตาของคนที่ทำงานปกติทั่วไปที่ต้องทำงานอยู่กับอุปกรณ์ไอทีไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนทั้งวันนั้นทำให้ดวงตาของคุณมีโอกาสได้รับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น
Blue light danger?
แสงสีฟ้า อันตรายจริงหรือ
ซึ่งแสงสีฟ้านี่แหละครับคือตัวการที่ทำให้จอประสาทตาเราเสื่อม แม้หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแต่ก็ไม่เคยได้ใส่ใจ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหลายคนเข้าใจว่าเป็นการปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อหาเรื่องขายของ เช่นอุปกรณ์หรือแว่นกรองแสงสีฟ้า แล้วก็เข้าใจว่าแสงสีไหนๆก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำไมถึงต้องจำเพาะว่าสีฟ้าด้วยที่เป็นอันตราย ยิ่งคนที่รักสีฟ้านี่ไปคุยเรื่องนี้กับเขาไม่ได้เลยนะ เดี๋ยวเขาจะเคืองเอา ซึ่งจริงๆแล้วมันมีหลักการทางวิทยาศาสตร์และผลการศึกษาวิจัยรองรับมากมายว่าแสงสีฟ้านั้นอันตรายจริงๆครับ
โดยเฉพาะกับดวงตาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายเราด้วย ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเราก็อยากให้เพื่อนลองเปิดใจอ่านข้อมูลในนี้ดูครับ
ทำไมเเสงสีฟ้าถึงอันตราย ?
หากคุณยังจำได้แค่ลองไปพลิกตำราวิชาฟิสิกส์สมัยเรียน ม. ปลายเรื่องแสงดู เอาแค่เรื่องสเปกตรัมคุณก็จะทราบแล้วว่าแสงแต่ละสีนั้นมีคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน โดยแสงสีฟ้านั้นเป็นแสงที่มีช่วงความถี่สั้นจึงเป็นแสงที่มีพลังงานสูง และด้วยความที่มันมีพลังงานสูงที่แหละครับทำให้มันสามารถทำลายประสาทของดวงตาเราได้
ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลทางด้านฟิสิกส์เท่านั้น ทีนี้เราลองมาดูในทางการแพทย์กันบ้างนะครับ ซึ่งผมของหยิบยกผลจากงานวิจัยที่ทำโดยทีมวิจัยจาก ม. โทเลโด ในสหรัฐอเมริกาที่พวกเขาเคยตีพิมพ์ไว้ในวารสาร Science Report ซึ่งพวกเขาได้พบว่าดวงตาที่จ้องมองแสงสีฟ้าเป็นเวลานานติดต่อกันแสงสีฟ้าจะเข้าไปทำปฏิกิริยาภายในดวงตาทำจนก่อให้เกิดสารพิษในเซลล์รับแสงซึ่งเป็นสาเหตุของโรคจอประสาทตาเสื่อม
วิธีการทำลายดวงตาของเเสงสีฟ้า
โดยทีมวิจัยยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าแสงสีฟ้าเป็นคลื่นสั้นที่ดวงตาของคนเราได้รับแล้วไม่สามารถสะท้อนหรือป้องกันออกไปได้มันจึงเข้าไปจัดการทำปฏิกิริยากับ “เรตินอล” (Retinal) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยในการมองเห็นของจอตาจนเกิดเป็นโมเลกุลพิษไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์รับแสงให้ตายลงในที่สุด จนเป็นเห็นให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบนี้มีโอกาสสูญเสียการมองเห็นแบบ 100% เพราะจอตาไม่สามารถส่งสัญญาณสื่อประสาทไปยังสมองได้ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากๆ เลยนะครับ
เเสงสีฟ้าอันตรายอย่างเเท้จริงต่อเซลล์ที่มีเรตินอล
และเพื่อเป็นการขยายผลการศึกษาวิจัยเพื่อดูว่าแสงสีฟ้านี้ร้ายกาจแค่ไหน ทีมวิจัยยังได้ทำการทดลองยิงลำแสงสีฟ้าไปยังเซลล์ชนิดอื่นๆนอกจากเซลล์ตาที่มีสารเรตินอลบรรจุอยู่ภายในเซลล์ เช่น เซลล์ประสาท เซลล์หัวใจ หรือเซลล์มะเร็ง ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาดเลยครับ แสงสีฟ้าสามารถก่อเกิดปฏิกิริยาสร้างโมเลกุลพิษจนเป็นเหตุให้เซลล์เหล่านั้นตายลงได้ทั้งหมด
เมื่อเพื่อนๆ ได้อ่านมาถึงตรงนี้คงทราบแล้วนะครับว่าแสงสีฟ้านั้นมีอันตรายจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงการปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาให้คนกลัวแล้วนำเสนอขายสินค้าอย่างที่ใครหลายๆคนเข้าใจ และเราก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากสูญเสียความสามารถในการมองเห็นหรือแม้กระทั่ง “ตาบอด” ทุกคนจึงควรใส่ใจในเรื่องนี้
เพราะปัจจุบันโรคจอประสาทตาเสื่อมยังไม่มีหนทางรักษานะครับ เป็นแล้วเป็นเลย บอดแล้วบอดเลยนะ โดยโรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นสาเหตุหลักเลยที่ทำให้ผู้สูงวัยที่มีอายุในช่วง 50-70 สูญเสียการมองเห็น บางคนแม้จะไม่ได้บอดสนิทแต่ก็เป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตไม่น้อย
ดังนั้นเรารีบมาใส่ใจเรื่องนี้กันตั้งแต่วันนี้ หาซื้ออุปกรณ์ที่จัดการกับแสงสีฟ้า และต้องไม่เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในที่มืดกันจะดีกว่า ที่สำคัญคนที่งานอยู่หน้าจอคอมพ์ฯหนักๆในแต่ละวันควรพักสายตาบ้างนะครับ ดวงตาของคุณจะได้อยู่กับคุณไปนานๆ
สนับสนุนเนื้อหา
Pepperrr