แสงสีฟ้า อันตรายจริงหรือ?

แสงสีฟ้า อันตรายจริงหรือ?

หากไม่อยากสูญเสียความสามารถในการมองเห็นก่อนวัยอันควร ก็อยากจะนำเรียนทุกท่านให้เห็นความอันตรายของเเสงสีฟ้า หากไม่เชื่อโปรดเข้ามาอ่านในนี้
สวัสดีเพื่อนๆชาว Pepper ทุกคน กลับมาพบกันเป็นประจำทุกวันเช่นเคยกับเรื่องราวสาระดีๆ สำหรับวันนี้เราจะพาเพื่อนๆมาเติมความรู้เรื่องสุขภาพกันหน่อย เพื่อนๆทราบมั้ยครับว่าในชีวิตประจำวันของเราในแต่ละวันนั้นดวงตาของเราได้รับความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพเพิ่มมากขึ้นโดยที่หลายคนไม่เคยได้รู้ตัวมาก่อน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตาของคนที่ทำงานปกติทั่วไปที่ต้องทำงานอยู่กับอุปกรณ์ไอทีไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนทั้งวันนั้นทำให้ดวงตาของคุณมีโอกาสได้รับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น
Blue light danger?
แสงสีฟ้า อันตรายจริงหรือ
ซึ่งแสงสีฟ้านี่แหละครับคือตัวการที่ทำให้จอประสาทตาเราเสื่อม แม้หลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแต่ก็ไม่เคยได้ใส่ใจ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะหลายคนเข้าใจว่าเป็นการปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อหาเรื่องขายของ เช่นอุปกรณ์หรือแว่นกรองแสงสีฟ้า แล้วก็เข้าใจว่าแสงสีไหนๆก็เหมือนกันนั่นแหละ ทำไมถึงต้องจำเพาะว่าสีฟ้าด้วยที่เป็นอันตราย ยิ่งคนที่รักสีฟ้านี่ไปคุยเรื่องนี้กับเขาไม่ได้เลยนะ เดี๋ยวเขาจะเคืองเอา ซึ่งจริงๆแล้วมันมีหลักการทางวิทยาศาสตร์และผลการศึกษาวิจัยรองรับมากมายว่าแสงสีฟ้านั้นอันตรายจริงๆครับ
โดยเฉพาะกับดวงตาซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายเราด้วย ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเราก็อยากให้เพื่อนลองเปิดใจอ่านข้อมูลในนี้ดูครับ
ทำไมเเสงสีฟ้าถึงอันตราย ?
หากคุณยังจำได้แค่ลองไปพลิกตำราวิชาฟิสิกส์สมัยเรียน ม. ปลายเรื่องแสงดู เอาแค่เรื่องสเปกตรัมคุณก็จะทราบแล้วว่าแสงแต่ละสีนั้นมีคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน โดยแสงสีฟ้านั้นเป็นแสงที่มีช่วงความถี่สั้นจึงเป็นแสงที่มีพลังงานสูง และด้วยความที่มันมีพลังงานสูงที่แหละครับทำให้มันสามารถทำลายประสาทของดวงตาเราได้
ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลทางด้านฟิสิกส์เท่านั้น ทีนี้เราลองมาดูในทางการแพทย์กันบ้างนะครับ ซึ่งผมของหยิบยกผลจากงานวิจัยที่ทำโดยทีมวิจัยจาก ม. โทเลโด ในสหรัฐอเมริกาที่พวกเขาเคยตีพิมพ์ไว้ในวารสาร Science Report ซึ่งพวกเขาได้พบว่าดวงตาที่จ้องมองแสงสีฟ้าเป็นเวลานานติดต่อกันแสงสีฟ้าจะเข้าไปทำปฏิกิริยาภายในดวงตาทำจนก่อให้เกิดสารพิษในเซลล์รับแสงซึ่งเป็นสาเหตุของโรคจอประสาทตาเสื่อม
วิธีการทำลายดวงตาของเเสงสีฟ้า
โดยทีมวิจัยยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าแสงสีฟ้าเป็นคลื่นสั้นที่ดวงตาของคนเราได้รับแล้วไม่สามารถสะท้อนหรือป้องกันออกไปได้มันจึงเข้าไปจัดการทำปฏิกิริยากับ “เรตินอล” (Retinal) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยในการมองเห็นของจอตาจนเกิดเป็นโมเลกุลพิษไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์รับแสงให้ตายลงในที่สุด จนเป็นเห็นให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบนี้มีโอกาสสูญเสียการมองเห็นแบบ 100% เพราะจอตาไม่สามารถส่งสัญญาณสื่อประสาทไปยังสมองได้ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากๆ เลยนะครับ
เเสงสีฟ้าอันตรายอย่างเเท้จริงต่อเซลล์ที่มีเรตินอล
และเพื่อเป็นการขยายผลการศึกษาวิจัยเพื่อดูว่าแสงสีฟ้านี้ร้ายกาจแค่ไหน ทีมวิจัยยังได้ทำการทดลองยิงลำแสงสีฟ้าไปยังเซลล์ชนิดอื่นๆนอกจากเซลล์ตาที่มีสารเรตินอลบรรจุอยู่ภายในเซลล์ เช่น เซลล์ประสาท เซลล์หัวใจ หรือเซลล์มะเร็ง ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาดเลยครับ แสงสีฟ้าสามารถก่อเกิดปฏิกิริยาสร้างโมเลกุลพิษจนเป็นเหตุให้เซลล์เหล่านั้นตายลงได้ทั้งหมด
เมื่อเพื่อนๆ ได้อ่านมาถึงตรงนี้คงทราบแล้วนะครับว่าแสงสีฟ้านั้นมีอันตรายจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงการปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาให้คนกลัวแล้วนำเสนอขายสินค้าอย่างที่ใครหลายๆคนเข้าใจ และเราก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากสูญเสียความสามารถในการมองเห็นหรือแม้กระทั่ง “ตาบอด” ทุกคนจึงควรใส่ใจในเรื่องนี้
เพราะปัจจุบันโรคจอประสาทตาเสื่อมยังไม่มีหนทางรักษานะครับ เป็นแล้วเป็นเลย บอดแล้วบอดเลยนะ โดยโรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นสาเหตุหลักเลยที่ทำให้ผู้สูงวัยที่มีอายุในช่วง 50-70 สูญเสียการมองเห็น บางคนแม้จะไม่ได้บอดสนิทแต่ก็เป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตไม่น้อย
ดังนั้นเรารีบมาใส่ใจเรื่องนี้กันตั้งแต่วันนี้ หาซื้ออุปกรณ์ที่จัดการกับแสงสีฟ้า และต้องไม่เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในที่มืดกันจะดีกว่า ที่สำคัญคนที่งานอยู่หน้าจอคอมพ์ฯหนักๆในแต่ละวันควรพักสายตาบ้างนะครับ ดวงตาของคุณจะได้อยู่กับคุณไปนานๆ
สนับสนุนเนื้อหา
Pepperrr

สู้กับมะเร็งด้วยตัวเอง ง่ายๆ

**ทางเลือกสู้กับมะเร็ง **
(white star)(white star)(white star)(white star)(white star)(white star)(white star)

จากบทความ
John Hopkins Update รายงานว่าแต่เดิมการใช้ คีโม
( CHEMOTHERAPY )

เป็น "ความพยายาม "  เดียวในการกำจัดมะเร็ง

แต่ John Hopkins บอกว่ายังมีทางเลือกอื่นได้อีก

** เป็นบทความที่ดีมากๆ  ทุกท่านควรอ่านครับ **

**สิ่งที่ John Hopkins รายงานล่าสุด .....

1. คนทุกคนล้วนมีมะเร็งซ่อนอยู่ในร่างกาย  จะตรวจพบได้ก็ต่อเมื่อมันขยายตัวจนถึงหลายพันล้านเซลล์แล้ว  หากหมอรักษาคนไข้บอกว่าไม่มีเซลล์มะเร็งในร่างกาย  นั่นไม่ได้หมายถึงไม่มีจริงๆ แต่มีน้อยจนเครื่องมือในปัจจุบันตรวจไม่พบเท่านั้น

2. ในชั่วชีวิตคน เซลล์มะเร็งจะปรากฏขึ้น 6 ครั้ง หรือมากกว่า 10 ครั้งได้

3. หากคนที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง จะสามารถทำลายและป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งขยายตัวจนเป็นเนื้อร้ายได้

4. การที่คนเป็นมะเร็ง จะเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเป็นผู้นั้นบกพร่องในด้านโภชนาการ(stars)

อันเนื่องมาจากยีน (GENETIC ) ของตัวเอง และรวมทั้งปัจจัยประกอบจากสภาพแวดล้อม อาหาร และการดำรงชีวิตประจำวัน

5. เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องทางด้านโภชนาการ  จะต้องบริโภคอาหารให้พอเพียง และมีประโยชน์ 4-5 ครั้งต่อวัน และใช้อาหารเสริมช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

6. คีโม ( CHEMOTHERAPY ) ใช้วิธีทำลายเซลล์มะเร็งที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วได้ก็จริง แต่จะทำลายเซลล์ไขกระดูกที่ยังสมบูรณ์   ทำลายขั้วลำไส้  รวมทั้งทำลายอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ ไปด้วย

7. การฉายรังสี ( RADIATION ) ทำลายเซลล์มะเร็งได้ก็จริง แต่จะเกิดรอยไหม้ แผลเป็น และทำลายเซลล์ที่ยังสมบูรณ์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะอื่นๆไปด้วย

8. ในตอนต้นของการใช้คีโมและฉายรังสีรักษา จะสามรถลดขนาดเนื้อร้ายลงได้ แต่การใช้ที่ยืดเยื้อจะไม่สามารถทำลายเนื้อร้ายให้เล็กลงต่อไปได้อีก  เมื่อร่างกายแบกรับพิษจากผลพวงของคีโมและฉายรังสีมากเกินไป  ระบบภูมิคุ้นกันจะถูกทำลายหรือยับยั้งไว้จนร่างกายทดถอย ก่อให้เกิดการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนต่อไปอีก

10. การใช้คีโมและฉายรังสี อาจทำให้มะเร็งแตกตัวและต่อต้าน ยากต่อการรักษา  การผ่าตัดก็จะทำให้เซลล์มะเร็งกระจายไปที่อื่นได้

11. หนทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพ คือ การทำลายเซลล์มะเร็งด้วยการ ให้อดอยากโดยงดอาหารที่จำเป็นต่อการขยายตัวของเซลล์

***กินอย่างไรจึงทำให้เซลล์มะเร็งอดอยาก .....

ก. กลุ่มน้ำตาลเทียมบางชนิดอาจเจือปนสารอันตราย ควรใช้น้ำตาลจากธรรมชาติทดแทนจะดีกว่า เช่น น้ำผึ้งบางชนิด หรือกากน้ำตาล  แต่ควรใช้ในปริมาณน้อย  เกลือใช้ปรุงรสอาหารมีสารเคมีฟอกขาวเจือปน ควรทดแทนด้วยอะมิโนบางชนิด หรือเกลือทะเล

ข. นมทำให้ร่างกายสร้างเมือกเนื้อเยื่อเคลือบตามหลืบซ่อนเร้น( MUCUS )  โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณขั้วลำไส้ ( GASTROINTESTINAL TRACT )  เซลล์มะเร็งดำรงชีวิตด้วยสิ่งนี้    เลิกนมจากสัตว์ แล้วทดแทนด้วยนมถั่วเหลืองชนิดจืด จะทำให้เซลล์มะเร็งต้องขาดอาหาร

ค. เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารที่ทำจากเนื้อมีสภาพเป็นกรด   นอกจากนี้ยังปนเปื้อนสารฆ่าเชื้อจากสัตว์เลี้ยง มีฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตและพยาธิ เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อคนที่เป็นมะเร็ง

ง. อาหาร 80 %  ควรประกอบด้วย ผัก น้ำผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี เมล็ดพืชผลไม้ ถั่ว และผลไม้สดอีกเล็กน้อย  อาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่เป็นด่าง  ส่วนอีก 20 % อาจเป็นอาหารที่ปรุงแล้วจากถั่ว ผักสด น้ำผลไม้ จะช่วยให้น้ำย่อยตื่นตัว อยู่ในสภาพระดับเดียวกับเซลล์ภายในเวลา 15 นาที เพื่อเข้าไปเลี้ยงและเสริมให้เซลล์เจริญเติบโตแข็งแรง ดื่มเสริมด้วยน้ำผักสด (ผักเป็นส่วนใหญ่และถั่วงอก ) และกินผักสด 2 หรือ 3 ครั้งต่อวัน  น้ำย่อยจะถูกทำลายที่อุณหภูมิ 104 องศา F ( 40 องศา C )

จ. หลีกเลี่ยงกาแฟ ชา ช็อกโกเล็ต พวกนี้มีคาเฟอีนสูง ชาเขียวสามารถใช้ทดแทนเครื่องดื่มเหล่านี้ได้ และมีคุณสมบัตืที่ต่อสู้กับมะเร็งได้ น้ำเหมาะสมที่สุดในการใช้ดื่ม น้ำที่ทำให้บริสุทธิ์แล้วหรือผ่านการกรองจะช่วยขจัดพิษและโลหะหนักในน้ำประปาได้  แต่ไม่ควรดื่มน้ำกลั่นเพราะมีสภาพเป็นกรด

12. โปรตีนจากเนื้อสัตว์ยากต่อการย่อย ต้องใช้น้ำย่อยในปริมาณมาก  เนื้อส่วนที่ย่อยไม่ได้จะตกค้างอยู่ในลำไส้  และจะเน่าเปื่อยสะสมเป็นพิษมากขึ้น

13. ผนังของเซลล์มะเร็งจะมีโปรตีนที่เหนียวเคลือบอยู่ ถ้าหากหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ได้ จะมีน้ำย่อยเหลือในปริมาณมากไปโจมตีผนังโปรตีนของเซลล์มะเร็งแทน  วิธีการนี้จะสามารถระดมรวบรวมเซลล์นักฆ่าได้จำนวนมาก พอเพียงต่อการเข้าทำลายเซลล์มะเร็ง

14. อาหารเสริมจากแร่ธาตุ สารขจัดพิษ และวิตามิน จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกระตุ้นให้เซลล์นักฆ่าของร่างกายเข้าทำลายเซลล์มะเร็ง  วิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน E จะทำให้เซลล์มะเร็งหมดประสิทธิภาพ หรือตายลงในที่สุด  เป็นวิธีการที่ร่างกายใช้ขจัดเซลล์ที่ชำรุด ที่ไม่ต้องการ หรือหมดความจำเป็นออกไป

15. มะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากความบกพร่องของสภาพร่างกาย (BODY) จิตใจ (MIND) และอารมณ์ (SPIRIT)  หากมีอารมณ์ที่ความตื่นตัวและแน่วแน่แล้ว จะช่วยให้นักรบอยู่รอดในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้     ความโกรธ การไม่ให้อภัย และความขื่นขม จะทำให้ร่างกายเกิดความเครียดและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด  การผ่อนคลายและร่าเริงกับชีวิต จะสามารถช่วยเสริมสร้างอารมณ์ของการให้อภัยได้

16. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มีอ๊อกซิเจน    การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน และการหายใจลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนในระดับเซลล์มากเพียงพอไปทำลายเซลล์มะเร็งลงได้  การรักษาด้วยอ๊อกซิเจน เป็นวิธีการทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง

***บทความนี้ควรส่งต่อให้ทุกคนที่สำคัญกับชีวิตท่าน***

***บทความที่ค่อนข้างเป็นทางการเช่นนี้ ควรส่งต่อในหมู่เพื่อนฝูง***

(star)(white star)(white star)(white star)(white star)
ข้อความนี้แปลจากบทความ John Hopkins Update 
ผู้แปลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีคุณค่าและมีประโยชน์ จึงได้แปลเพื่อให้สะดวกต่อการอ่าน และทำความเข้าใจ

รวมทั้งเผยแพร่ใน
"หมู่เพื่อนฝูง" เพื่อพิจารณานำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

นี่เป็น"ความพยายาม"  ในการพิชิตมะเร็งอีกทางหนึ่ง สามารถทำได้ด้วยตนเอง ลองปฏิบัติดูครับ

รางวัลที่จะได้รับ คือ มะเร็งอาจหาย ลดน้อยลง คงสภาพเดิม  หรืออย่างน้อยที่สุดคือมีสุขภาพดีครับ

   พลเอก บุรี
มนต์ไตรเวศย์

(white star)(white star)(white star)(white star)(white star)(white star)

สระผมยังไง ให้ผมร่วงน้อย

สาวๆ หนุ่มๆ หลายคนมีความกังวลในเรื่องของ “ผมขาว” ซึ่งสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการ “ทำสีผม” แต่เรื่องของ “ผมร่วง” น่าจะเป็นเรื่องที่หลายคนกังวลใจมากกว่า เพราะเมื่อไรก็ตามที่ผมร่วงจนผมบาง หัวล้านหัวเถิกขึ้นมา นอกจากความสวยความหง่อ ความอ่อนเยาว์จะหายไปมากแล้ว การรักษาด้วยการฝังรากผมใหม่ก็ใช้เงินจำนวนมหาศาล จะใส่วิกก็ดูปลอมจนไม่เป็นธรรมชาติ
แต่ทุกคนทราบหรือไม่ว่า การลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผม เริ่มต้นได้ที่การ สระผม อย่างถูกวิธี
  1. หวีผมก่อนสระผม


    หลายครั้งที่เราเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำสระผมหลังจากที่เรากลับมาจากที่ทำงานในขณะที่หัวของเรายังยุ่งๆ อยู่ โดยเฉพาะใครที่โดยสารรถเมล์เปิดหน้าต่าง หรือนั่งวินมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ลมคงพัดจนทำให้ผมชี้ฟู และพันกันได้ง่ายๆ หากสระผมในขณะที่ผมพันกัน โอกาสที่เราจะสางผมด้วยนิ้ว แล้วขยำๆ รั้งๆ จนเส้นผมหลุดติดมือออกมาก็มีสูง โดยเฉพาะยามที่ผมโดนน้ำ และแชมพู เป็นช่วงี่เส้นผมกำลังชุ่มชื่น และเปราะบาง ฉีดขาดได้ง่าย ดังนั้นการสางผมด้วยหวีให้เส้นผมเรียงตัวสวยก่อนเริ่มต้นสระผม จึงลดการกระชากดึงของเส้นผมจากนิ้วของเราได้ดีกว่าที่คุณคิด
  2. ไม่สระผมด้วยน้ำอุ่นจัด


    เส้นผมจะยิ่งแห้งเสีย และขาดง่ายหากสัมผัสกับความร้อน ความร้อนจากน้ำอุ่นจัดๆ ที่เรารู้สึกว่ามันสบายกับหนังศรีษะของเรา จะยิ่งทำให้หนังศรีษะแห้งไปด้วย เพิ่มความเสี่ยงที่เส้นผมจะขาด หรือหลุดออกมาทั้งรากได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นจึงควรใช้น้ำอุณหภูมิปกติ หรืออุณหภูมิห้อง ไม่ร้อนไม่เย็นจนเกินไปจะดีกว่า
  3. ไม่งกแชมพู


    บางครั้งคนที่ซื้อแชมพูมาแพงๆ อาจพยายามใช้แชมพูน้อยๆ หรือคิดว่าใช้เพียงเท่าเหรียญ 5 บาท 10 บาทก็เพียงพอสำหรับทั้งศรีษะแล้ว จริงๆ แล้วปริมาณของแชมพูที่ควรใช้ในแต่ละคนไม่เท่ากัน คนที่ผมยาวผมหนาก็ต้องใช้แชมพูมากกว่าคนที่ผมสั้นผมบาง ดังนั้นพยายามกะปริมาณให้พอเหมาะกับการสระผมของเราให้ดี เพราะถ้าใช้แชมพูน้อยเกินไป แรงของนิ้วเราในการขยำ เกา หรือกระชากจะยิ่งรุนแรง และเส้นผมก็จะหลุดร่วงมากยิ่งขึ้น อาจจะค่อยๆ เทแชมพูออกมาใช้ทีละเล็กละน้อย จนสามารถทำความสะอาดผมได้อย่างไม่ลำบาก
  4. นวดหนังศีรษะเบาๆ


    เข้าใจว่าหลายชอบให้เกาหนังศรีษะแรงๆ เพราะรู้สึกว่าการใช้ปลายนิ้วค่อยๆ นวดวนหนังศรีษะไม่ได้ทำให้หนังศรีษะสะอาด หรือกำจัดน้ำมันส่วนเกินจากหนังศรีษะออกไปได้ แต่อันที่จริงแล้วการนวดหนังศรีษะจะช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดี กระตุ้นให้รากผมยึดเกาะกับรูขุมขนบนหนังศีรษะได้ดี และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น การเกาแรงๆ ไม่ได้ช่วยทำความสะอาดได้ดีขึ้น แต่ยังทำให้เส้นผมถูกดึง และกระชากออกมาจากรูขุมขนบนหนังศีรษะมากขึ้น ผมจึงหลุดร่วงมากกว่าที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังอาจทำให้หนังศรีษะเป็นแผล และกระตุ้นให้เกิดรังแคได้ ดังนั้นควรจะใจเย็นๆ ค่อยๆ นวด หรือเกาหนังศรีษะเบาๆ และหากรู้สึกว่ายังไม่สะอาดพอ สามารถสระผมมากกว่า 1 ครั้งได้
  5. ไม่หวีผมขณะผมเปียก


    หลายคนชอบใช้หวีสางผมให้หายพันกันหลังสระผมทันที เมื่อผมยังเปียกอยู่ การหวีผมแล้วดึง ทำให้เส้นผมขาดได้ง่ายที่สุด ดังนั้นควรเป่าให้แห้งก่อน แล้วจึงค่อยหวี
  6. เช็ดผมแรงๆ


    การเช็ดผมในลักษณะขยี้ๆ ผมด้วยผ้าขนหนูแรงๆ นอกจากจะทำให้ผมขาดหลุดร่วงมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ผมพันกันมากกว่เดิมอีกด้วย ดังนั้นหลังสระผมเสร็จ ควรใช้ผ้าขนหนูห่อเพื่อซับน้ำออกให้ได้มากที่สุด แล้วค่อยๆ แกะผ้าออกมา แล้วเป่าผมให้แห้ง ช่วงที่ผมเกือบจะแห้งสนิท จึงค่อยเริ่มหวีผมเพื่อจัดทรงผมต่อไป
ขอบคุณบทความดีๆ จาก sanook.com